เส้นทางอาชีพ ของ ชินจิ โอโนะ

อูราวะ เรดไดมอนส์

โอโนะเกิดและโตที่จังหวัดชิซูโอกะ และเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับอูราวะ เรดไดมอนส์ในเจลีกเมื่อปี 1998 และในปีเดียวกันนั้น ก็มีชื่อติดทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศสในวัยเพียงแค่ 18 ปีนับว่ามีอายุน้อยที่สุดในทีม[4] หลังจากนั้นเริ่มเข้าตาสโมสรต่างชาติมากขึ้นเมื่อได้ลงเล่นในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลก 1999 ที่ประเทศไนจีเรีย โดยรับหน้าที่เป็นกัปตันทีมฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่นรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี โดยนำทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ในปีต่อมา โอโนะมีปัญหาอาการบาดเจ็บที่หัวเข่ารุนแรงในรอบคัดเลือกรายการโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 กับทีมรุ่นอายุไม่เกิน 2 ปี ทำให้พลาดโอกาสเล่นในช่วงที่เหลือของฤดูกาลและกีฬาโอลิมปิกรอบคัดเลือก

ไฟเยอโนร์ด

หลังจากทำผลงานได้ดีในรายการฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพปี 2001 สโมสรไฟเยอโนร์ดจึงได้ดึงตัวไปร่วมทีมเพื่อลุยศึกเอเรอดีวีซี ลีกสูงสุดของประเทศเนเธอร์แลนด์ในปี 2001 และในฤดูกาลแรกก็สามารถพาไฟเยอโนร์ดคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพได้ในปี 2002 สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะชาวญี่ปุ่นคนแรกที่ได้ชูถ้วยแชมป์ยุโรป แต่หลังจากนั้น โอโนะมีปัญหาอาการบาดเจ็บที่เอ็นทำให้ไม่ได้ลงเล่นเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในฤดูกาล 2004-05 ที่พลาดการลงสนามเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้สโมสรตัดสินใจขายออกไป[5] อย่างไรก็ตาม โอโนะถือว่าเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จในเมืองรอตเทอร์ดามไม่น้อย แม้กระทั่งเวสลีย์ สไนเดอร์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ยังเคยยอมรับว่าชินจิ โอโนะ เป็นนักฟุตบอลที่ต่อกรด้วยยากที่สุด[6]

กลับอูราวะ เรดไดมอนส์

หลังจากนั้นในปี 2006 โอโนะเดินทางกลับมาค้าแข้งที่เจลีกอีกครั้งกับต้นสังกัดเดิม โดยเซ็นสัญญา 3 ปี

โบคุม

ในช่วงตลาดหน้าหนาวปี 2008 สโมสรโบคุมในประเทศเยอรมนีในระดับบุนเดิสลีกาได้ซื้อตัวโอโนะไปร่วมทีม และโอโนะได้ประเดิมสนามเป็นครั้งแรกในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ปี 2008 ในเกมที่พบกับแวร์เดอร์ เบรเมนและทำสองแอสซิสต์ช่วยให้โบคุมบุกเอาชนะเบรเมนได้เป็นครั้งแรก แต่ในช่วงสองปีต่อมา โอโนะได้รับบาดเจ็บรุนแรงจนทำให้ได้ลงสนามให้กับโบคุมไปเพียงแค่ 34 นัด แม้จะทำไป 4 แอสซิสต์แต่สโมสรยังไม่ประทับใจในผลงาน และเมื่อช่วงพักเบรกหน้าหนาวของฤดูกาล 2009-10 โอโนะตัดสินใจขอย้ายกลับญี่ปุ่นด้วยเหตุผลส่วนตัว และสโมสรก็ยินยอมปล่อยตัวภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสโมสรต้องหาตัวแทนให้ได้ก่อน ชื่อของโอโนะในวัย 30 ปีนั้นทำให้สโมสรในญี่ปุ่นหลายแห่งสนใจ

ชิมิซุ เอส-พัลส์

เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2010 โอโนะได้มาค้าแข้งที่จังหวัดชิซูโอกะบ้านเกิดอีกครั้งด้วยการเซ็นสัญญากับชิมิซุ เอส-พัลส์ ด้วยค่าตัวเพียง 300,000 ยูโร เพราะสัญญากับโบคุมกำลังจะหมดในช่วงฤดูร้อนปี 2010 โอโนะให้เหตุผลในการกลับมาครั้งนี้ว่าอยากจะกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาและลูกๆที่อยู่ที่ญี่ปุ่น[7]

เวสเทิร์นซิดนีย์ วอนเดอเรอส์

ในวันที่ 28 กันยายน 2012 โอโนะได้ย้ายไปร่วมกับเวสเทิร์นซิดนีย์ วอนเดอเรอส์ในเอลีกของประเทศออสเตรเลียด้วยสัญญาสองปี และได้ลงประเดิมสนามในวันที่ 6 ตุลาคม ในเกมที่เสมอแบบไร้สกอร์กับเซนทรัลโคสต์ มาริเนอร์ส ซึ่งเป็นเกมแรกของฤดูกาล หลังจากนั้นช่วยยิงประตูให้กับทีมหลายครั้ง แต่ตัดสินใจกลับญี่ปุ่นอีกครั้ง โดยในวันที่ 16 มกราคม 2014 สโมสรได้ประกาศว่าโอโนะจะกลับญี่ปุ่นหลีงจากจบฤดูกาลในช่วงฤดูร้อน ซึ่งในตอนนั้น โอโนะตกเป็นข่าวกับทีมในเจลีก ดิวิชัน 2อย่างคอนซาโดเล ซัปโปโระที่สนใจจะดึงตัวไปร่วมทีมในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง หวังจะขึ้นลีกสูงสุด[8] และในวันที่ 4 พฤษภาคม 2014 โอโนะเล่นเกมเอลีกเป็นนักสุดท้ายในเกมที่พบกับบริสเบน โรร์

คอนซาโดเล ซัปโปโระ

หลังจากหมดสัญญากับทีมเอลีก โอโนะกลับญี่ปุ่นอีกครั้งด้วยการเซ็นสัญญากับคอนซาโดเล ซัปโปโระในเดือนพฤษภาคม 2014

แหล่งที่มา

WikiPedia: ชินจิ โอโนะ http://www.footballaustralia.com.au/news-display/S... http://www.footballaustralia.com.au/wswanderersfc/... http://www.smh.com.au/sport/football/japans-genius... http://www.fifa.com/worldfootball/statisticsandrec... http://www.goal.com/de/news/1022/interview/2010/01... http://www.japannationalfootballteam.com/en/player... http://www.national-football-teams.com/v2/player.p... http://www.amazon.co.jp/2016J1-J2-J3%E9%81%B8%E6%8... http://sofc.jp/ http://sofc.jp/captain/eng.html